งานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้ามีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุง ติดตั้งระบบ หรือการตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น การใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล หรือ PPE จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานทุกครั้ง
PPE คืออะไร และทำไมจึงสำคัญกับงานไฟฟ้า
PPE (Personal Protective Equipment) หรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล คือ อุปกรณ์ที่สวมใส่บนร่างกายบางส่วนหรือหลายส่วนพร้อมกัน เพื่อป้องกันอันตรายจากการทำงานและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟฟ้า ความร้อน สารเคมี หรือแรงกระแทก ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความปลอดภัยมากขึ้นขณะทำงาน
สำหรับงานไฟฟ้า การใช้ PPE จะเป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ทนต่อแรงดันไฟฟ้า ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า และสามารถป้องกันความร้อนหรือ Arc Flash ได้ การสวมใส่ PPE อย่างถูกวิธีจึงมีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยควรให้คำแนะนำและตรวจสอบการใช้อุปกรณ์ เพื่อให้ทุกการทำงานด้านไฟฟ้าเป็นไปอย่างปลอดภัยสูงสุด
ประเภทของ PPE อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า
ตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. 2558 หมวด ๔ อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลและอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า ข้อ ๒๑ ให้นายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่เหมาะสมกับลักษณะงาน และจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกัน อันตรายจากไฟฟ้าที่เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น
1. หมวกนิรภัย (Safety Helmet)
หมวกนิรภัย ถือเป็น PPE ที่สำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านไฟฟ้า เพราะเป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าที่ช่วยคุ้มครองศีรษะจากการตกกระแทกของวัตถุหรือการชนในพื้นที่ทำงานที่มีความเสี่ยง สำหรับงานไฟฟ้า หมวกนิรภัยต้องมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น การป้องกันไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Discharge) และการป้องกันการสัมผัสกับแรงดันไฟฟ้า เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อตหรืออาร์คแฟลช (Arc Flash) ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสได้ โดยมาตรฐาน ANSI Z89.1 ได้แบ่งประเภทหมวกนิรภัยไว้ ดังนี้
- Class G (General / Class A) ป้องกันแรงกระแทกจากวัตถุตกและลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงดันต่ำ (≤2,200 โวลต์)
- Class E (Electrical / Class B) ป้องกันแรงกระแทกจากวัตถุตกและลดอันตรายจากไฟฟ้าแรงสูง (≤20,000 โวลต์)
- Class C (Conductive / Nonelectrical) ป้องกันแรงกระแทกจากวัตถุตกเพียงอย่างเดียว ไม่มีคุณสมบัติป้องกันไฟฟ้า
2. ถุงมือป้องกันไฟฟ้า (Electrical Insulating Gloves)
อีกหนึ่ง PPE ที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติงานด้านไฟฟ้า คือถุงมือป้องกันไฟฟ้า เนื่องจากมือเป็นอวัยวะที่มีความเสี่ยงสัมผัสกับกระแสไฟฟ้ามากที่สุด ถุงมือป้องกันไฟฟ้ามักผลิตจากยางธรรมชาติหรือยางสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวน และผ่านการทดสอบและรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น ASTM D120 เพื่อให้สามารถป้องกันไฟฟ้าช็อตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดจัดระดับ (Class) ตามแรงดันไฟฟ้าที่ทนได้ ดังนี้
- Class 00 ≤ 500 V
- Class 0 ≤ 1,000 V
- Class 1 ≤ 7,500 V
- Class 2 ≤ 17,000 V
- Class 3 ≤ 26,500 V
- Class 4 ≤ 36,000 V
เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของถุงมือยางป้องกันไฟฟ้า จะต้องสวมถุงมือหนังทับด้านนอกเสมอ เพื่อป้องกันการเสียดสี การเจาะทะลุ และอันตรายจาก Arc Flash นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ใช้ควบคู่ เช่น ปลอกแขนยางฉนวนไฟฟ้า (Rubber Insulating Sleeves) ซึ่งมีการแบ่ง Class เช่นเดียวกับถุงมือ รวมถึง กระเป๋าเก็บถุงมือ และเครื่องเป่าลมทดสอบถุงมือ เพื่อช่วยดูแลและตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน
3. เสื้อผ้าป้องกันไฟฟ้า (Arc Flash Protective Clothing)
เสื้อผ้าป้องกันไฟฟ้า เป็น PPE ที่ไม่ควรมองข้ามหากต้องทำงานไฟฟ้า โดยเฉพาะในงานที่มีความเสี่ยงจากการเกิดอาร์กไฟฟ้า (Arc Flash) ซึ่งอาจสร้างความร้อนสูงจนทำให้ผิวหนังบาดเจ็บรุนแรงได้ เสื้อผ้าที่ใช้จึงต้องผลิตจากวัสดุที่ทนความร้อนและไม่ติดไฟง่าย เช่น ผ้า Nomex หรือผ้า Modacrylic ที่ผ่านการเคลือบพิเศษเพื่อเสริมคุณสมบัติด้านการป้องกัน
เสื้อผ้าป้องกันไฟฟ้าจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น NFPA 70E หรือ ASTM F1506 ซึ่งกำหนดให้เสื้อผ้ามีคุณสมบัติทนต่อความร้อนจาก Arc Flash โดยไม่หลอมละลายหรือเกิดการลุกไหม้ พร้อมทั้งมีค่าประเมินความสามารถในการป้องกัน เช่น ATPV (Arc Thermal Performance Value) หรือ EBT (Energy Breakopen Threshold) เพื่อบ่งบอกระดับการป้องกันที่ชัดเจน
4. หน้ากากป้องกัน Arc Flash (Arc Flash Face Shield)
หน้ากากป้องกันไฟฟ้า หรือ Arc Flash Face Shield เป็น PPE ที่จำเป็น สำหรับงานที่มีความเสี่ยงจากอาร์กไฟฟ้า โดยทำจากวัสดุทนความร้อน เช่น โพลีคาร์บอเนตเคลือบสารกันรังสี UV และอินฟราเรด เพื่อป้องกันทั้ง แสงจ้า ความร้อนสูง และเศษวัสดุที่ปลิวกระเด็นจากการระเบิด รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของดวงตาและผิวหน้า ผู้ใช้งานควรเลือกหน้ากากที่มีค่ามาตรฐาน Arc Rating ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง และในบางกรณีอาจต้องใช้ร่วมกับ เครื่องป้องกันทางเดินหายใจ (Respiratory Protection) เพื่อความปลอดภัยรอบด้านในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นหรือควันหนาแน่น
5. รองเท้าป้องกันไฟฟ้า (Electrical Insulating Shoes)
ในการทำงานไฟฟ้า อุบัติเหตุที่พบได้บ่อยคือการถูกไฟฟ้าช็อตจากการยืนบนพื้นดินที่มีกระแสไฟรั่ว หากผู้ปฏิบัติงานไม่สวมรองเท้าป้องกันไฟฟ้า โอกาสบาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิตก็มีสูงมาก PPE ประเภทนี้จึงถูกออกแบบเพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกไฟฟ้าดูด โดยทำหน้าที่เป็นฉนวนระหว่างร่างกายกับพื้นดิน ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานปลอดภัยแม้ทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อกระแสไฟฟ้ารั่วไหล
รองเท้าที่ใช้ในงานไฟฟ้าต้องผลิตจากวัสดุที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวน เช่น ยาง หรือวัสดุสังเคราะห์ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย เช่น ASTM 2412, ANSI Z41.1 หรือ IEC 61111 สำหรับแผ่นยางปูพื้นที่ใช้เสริมร่วมกัน เพื่อเพิ่มการป้องกันระหว่างร่างกายและพื้นดิน
เลือกและใช้งาน PPE อย่างไรให้ปลอดภัย
1. เลือกตามมาตรฐานและความเสี่ยง
เลือก PPE ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น NFPA 70E, ASTM F1506, IEC 61482, รวมถึงมาตรฐานไทย เช่น มอก. 1955-2551 (รองเท้านิรภัย) และ มอก. 1923-2553 (หมวกนิรภัย) เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์สามารถป้องกันไฟฟ้าช็อต, Arc Flash หรืออันตรายอื่นที่เกิดจากไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม
2. ตรวจสอบคุณสมบัติสำคัญของ PPE
การตรวจสอบคุณสมบัติสำคัญของ PPE เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัยในการทำงานไฟฟ้า อุปกรณ์ต้องสามารถทนแรงดันไฟฟ้าที่อาจเผชิญในงานได้ และทำจากวัสดุที่ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า เช่น ยางหรือฉนวนพอลิเมอร์ สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับอาร์กไฟฟ้า PPE ต้องมีความสามารถป้องกันความร้อนและเปลวไฟได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟหรือไฟฟ้าลัดวงจร เพื่อให้การป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากอันตรายทางไฟฟ้า
3. ตรวจสอบสภาพและอายุการใช้งาน
PPE ต้องถูกตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเช็กการชำรุด รอยร้าว หรือเสื่อมสภาพของวัสดุ เช่น การฉีกขาดของถุงมือยางที่อาจทำให้ไฟฟ้ารั่วไหลสู่ร่างกายได้ นอกจากนี้ ควรเก็บรักษาอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าอย่างเหมาะสม เช่น เก็บถุงมือในที่แห้ง หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือความร้อนจัด
4. สวมใส่ให้ถูกวิธีและครบชุด
การสวม PPE ให้ครบชุดและถูกวิธีถือเป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัยในการทำงานไฟฟ้า ผู้ปฏิบัติงานควรสวมอุปกรณ์ทุกชิ้นอย่างเหมาะสม ครอบคลุมทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่หมวกนิรภัย ถุงมือป้องกันไฟฟ้า เสื้อผ้า Arc Flash หน้ากากหรือแผ่นบังหน้า ไปจนถึงรองเท้าป้องกันไฟฟ้า การปฏิบัติตามขั้นตอนนี้ช่วยให้การป้องกันไฟฟ้าช็อต อาร์กแฟลช หรืออุบัติเหตุอื่น ๆ มีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อร่างกายได้อย่างชัดเจน
การใช้ PPE อย่างถูกต้องไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการทำงาน แต่ยังสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าอย่างเหมาะสมก่อนปฏิบัติงานเสมอ
ที่มา:
https://www.ohswa.or.th/17834303/ซีรีส์พื้นฐานความปลอดภัยด้านไฟฟ้าที่เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยต้องรู้-ep3
https://www.safetymember.net/ppe-for-electrical-work/
https://elecsafetrain.com/ppe-for-electrical-work/