เครื่องปั่นไฟอาจดูเป็นอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นในวันที่ทุกอย่างปกติ แต่ทันทีที่เกิดเหตุไฟดับหรือระบบไฟฟ้าขัดข้อง แล้วเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดต้องหยุดทำงานแบบไม่ทันตั้งตัว เครื่องปั่นไฟจะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อได้ทันที เพราะเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ไฟหายไป อาจสร้างความเสียหายมากกว่าที่คิด
เครื่องปั่นไฟคืออะไร
เครื่องปั่นไฟ (Generator) หรือที่หลายคนเรียกว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือไดปั่นไฟ คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้งานในช่วงเวลาที่ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นไฟดับ ไฟตก หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง อุปกรณ์ชนิดนี้นิยมใช้ทั้งในบ้านเรือน สำนักงาน โรงงาน ไปจนถึงสถานที่กลางแจ้งหรือพื้นที่ประสบภัยพิบัติ
ประเภทเครื่องปั่นไฟที่ควรรู้ ก่อนเลือกใช้งานให้ตรงจุด
เครื่องปั่นไฟสามารถแบ่งประเภทออกเป็น 2 ประเภทหลัก ตามลักษณะของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ ดังนี้
1. เครื่องปั่นไฟแบบกระแสตรง
เครื่องปั่นไฟแบบกระแสตรง จะมีกระแสไฟไหลไปในทิศทางเดียวอย่างต่อเนื่อง โดยกระแสไฟขาออกจะถูกเหนี่ยวนำในส่วนของโรเตอร์ ซึ่งมีตัวสับเปลี่ยนทำหน้าที่ปรับทิศทางกระแสไฟ ทำให้บางครั้งอาจเกิดประกายไฟหรือการสูญเสียพลังงาน เครื่องปั่นไฟแบบกระแสตรงจึงมักมีประสิทธิภาพต่ำกว่าแบบกระแสสลับ เหมาะกับงานที่ต้องการแรงดันไฟฟ้าต่ำ
2. เครื่องปั่นไฟแบบกระแสสลับ
เครื่องปั่นไฟแบบกระแสสลับ ได้รับความนิยมมากในการใช้งานเชิงอุตสาหกรรม เช่น โรงงาน โรงแรม อาคารสูง เป็นต้น เนื่องจากเครื่องชนิดนี้สามารถผลิตไฟฟ้ากระแสสลับที่กระแสไฟฟ้ากลับทิศทางไปมาได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ลดการสูญเสียพลังงานและให้ประสิทธิภาพสูงกว่า
เครื่องปั่นไฟทำงานอย่างไร
หลักการทำงานของเครื่องปั่นไฟ จะใช้หลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าตามทฤษฎีของ ไมเคิล ฟาราเดย์ ที่กล่าวไว้ว่าเมื่อขดลวดเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก หรือสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านขดลวด จะเกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้น ทำให้เครื่องปั่นไฟสามารถเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้าและจ่ายกระแสไฟไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ทันที
ประโยชน์ของเครื่องปั่นไฟ
เครื่องปั่นไฟเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้ชีวิตและงานธุรกิจดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้เกิดไฟฟ้าขัดข้องหรือพื้นที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง
-
แหล่งไฟฟ้าสำรองฉุกเฉิน
เครื่องปั่นไฟช่วยให้สามารถใช้งานไฟฟ้าได้ทันทีเมื่อเกิดไฟดับหรือระบบไฟฟ้าหลักขัดข้อง โดยเฉพาะในโรงพยาบาล โรงงาน หรืออาคารสำคัญ การมีเครื่องปั่นไฟช่วยป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงช่วยให้กระบวนการทำงานดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
-
ใช้งานได้ทุกที่
หนึ่งจุดเด่นของเครื่องปั่นไฟคือสามารถติดตั้งและใช้งานได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นไซต์ก่อสร้าง พื้นที่ห่างไกล หรือพื้นที่จัดกิจกรรมกลางแจ้ง ทำให้ใช้งานไฟฟ้าได้ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่งโครงสร้างพื้นฐาน
-
ใช้งานสะดวก
เครื่องปั่นไฟรุ่นใหม่สามารถเริ่มทำงานได้อัตโนมัติเมื่อไฟฟ้าหลักขัดข้องหรือควบคุมผ่านรีโมตและระบบดิจิทัล พร้อมหน้าจอแสดงผลและระบบแจ้งเตือน ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเวลาปรับตั้งหรือดูแลมากนัก
-
ประหยัดพลังงาน
เครื่องปั่นไฟในปัจจุบันรองรับเชื้อเพลิงที่หลากหลาย เช่น ก๊าซธรรมชาติ พลังงานน้ำ หรือพลังงานลม และบางรุ่นยังมีระบบประหยัดพลังงานหรือเชื้อเพลิง ทำให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุน
-
ราคาคุ้มค่า
เครื่องปั่นไฟมีขนาดและราคาหลากหลาย ทำให้สามารถเลือกได้ตามความต้องการ ช่วยลดความเสียหายจากไฟฟ้าขัดข้อง ซึ่งมูลค่าความเสียหายอาจสูงกว่าราคาของเครื่องหลายเท่า
วิธีเลือกเครื่องปั่นไฟ
การเลือกเครื่องปั่นไฟให้เหมาะกับการใช้งาน จำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้ได้เครื่องปั่นไฟที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง โดยควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
-
กำลังไฟของเครื่องปั่นไฟ
การเลือกขนาดเครื่องปั่นไฟควรพิจารณาจากปริมาณไฟฟ้าที่ต้องการใช้งาน เพราะกำลังไฟจะบอกปริมาณกระแสไฟฟ้าที่เครื่องสามารถจ่ายได้ หากเลือกเครื่องที่มีกำลังไฟต่ำเกินไป อุปกรณ์อาจทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือเครื่องปั่นไฟอาจทำงานหนักเกินไปจนเสียหายได้ โดยสามารถแบ่งได้ ดังนี้
-
- เครื่องปั่นไฟขนาดเล็กมาก มีกำลังไฟไม่เกิน 800 วัตต์ เหมาะสำหรับตู้เย็น คอมพิวเตอร์ หรือพัดลม
- เครื่องปั่นไฟขนาดเล็ก มีกำลังไฟไม่เกิน 1,500 – 2,500 วัตต์ เหมาะสำหรับสว่านไฟฟ้า ปั๊มลม หรือเครื่องดูดฝุ่น
- เครื่องปั่นไฟขนาดกลาง มีกำลังไฟไม่เกิน 3,500 – 5,000 วัตต์ เหมาะสำหรับแท่นตัดไฟเบอร์ หรือเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่
- เครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ มีกำลังไฟไม่เกิน 5,000-9,000 วัตต์ เหมาะสำหรับแอร์ขนาด 10,000 BTU
-
ประเภทเครื่องปั่นไฟ
เครื่องปั่นไฟมีหลายประเภทตามลักษณะการใช้งาน ซึ่งการเลือกให้เหมาะสมจะช่วยให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่า ทั้งด้านกำลังไฟ ความทนทาน และความปลอดภัย โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
-
- เครื่องปั่นไฟแบบพกพา (Portable Generator) มีขนาดเล็ก-กลาง น้ำหนักเบา พกพาสะดวก เหมาะสำหรับ การแคมปิง งานก่อสร้าง หรือเป็นแหล่งพลังงานชั่วคราว
- เครื่องปั่นไฟสำรอง (Standby Generator) มีกำลังการผลิตสูง และมีระบบสวิตช์อัตโนมัติเพื่อสลับระบบจ่ายไฟเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เหมาะสำหรับการใช้งานในอาคาร โรงงาน โรงแรม หรือโรงพยาบาล
- เครื่องปั่นไฟสำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Generator) มีขนาดใหญ่ และมีกำลังผลิตไฟฟ้าสูงมาก สามารถจ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่องและเสถียรภาพสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในอาคารขนาดใหญ่ อาคารพาณิชย์ โรงงานผลิต หรือสถานีไฟฟ้าย่อย
-
ประเภทเชื้อเพลิงของเครื่องปั่นไฟ
ประเภทเชื้อเพลิงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกเครื่องปั่นไฟ เนื่องจากมีผลต่อประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย โดยแต่ละประเภทมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่าง ดังนี้
-
- เครื่องปั่นไฟชนิดเบนซิน มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย เสียงเงียบ แต่มีข้อจำกัดเรื่องสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง กำลังไฟต่ำ และอายุการใช้งานสั้น จึงเหมาะสำหรับการใช้งานขนาดเล็ก
- เครื่องปั่นไฟชนิดดีเซล มีความทนทาน กำลังการผลิตสูง ใช้งานได้ต่อเนื่อง ประหยัดเชื้อเพลิง แต่ราคาสูง น้ำหนักมาก และเสียงดัง จึงเหมาะสำหรับงานโรงงานหรืออุตสาหกรรม
- เครื่องปั่นไฟชนิดโพรเพน มีความปลอดภัยสูง เก็บรักษาได้นาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่กำลังไฟไม่สูงเท่าดีเซล เคลื่อนย้ายลำบาก และอาจหาเชื้อเพลิงได้ยาก
- เครื่องปั่นไฟชนิดก๊าซธรรมชาติ มีราคาถูก ปล่อยมลพิษต่ำ แต่การติดตั้งมีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง รวมถึงไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ห่างไกล เนื่องจากข้อจำกัดของระบบท่อส่งก๊าซ จึงเหมาะกับการใช้งานในอาคารหรือโรงงานที่มีระบบก๊าซธรรมชาติอยู่แล้ว
- เครื่องปั่นไฟชนิดอินเวอร์เตอร์ สามารถปล่อยกระแสไฟได้คงที่และมีคุณภาพสูง น้ำหนักเบาพกพาสะดวก ประหยัดเชื้อเพลิง เสียงรบกวนต่ำ แต่กำลังผลิตต่ำและราคาสูง จึงเหมาะสำหรับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ไวต่อแรงดันไฟฟ้า
-
ระดับเสียงของเครื่องปั่นไฟ
ระดับเสียงของเครื่องปั่นไฟเป็นสิ่งที่หลายคนมักมองข้าม แต่ในบางพื้นที่ที่ต้องการความเงียบสงบ เช่น ที่พักอาศัย โรงพยาบาล หรือที่ทำงาน จำเป็นต้องเลือกเครื่องปั่นไฟที่มีความดังที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน โดยเครื่องปั่นไฟแบบพกพามักมีระดับเสียงประมาณ 50 – 80 เดซิเบล และเครื่องปั่นไฟแบบอินเวอร์เตอร์จะมีระดับเสียงประมาณ 50 – 60 เดซิเบล นอกจากนี้ ควรเลือกเครื่องปั่นไฟที่มีระบบลดเสียง เช่น กล่องเก็บเสียง หรือเทคโนโลยีลดเสียง เพื่อลดมลภาวะทางเสียง
การใช้งานและการบำรุงรักษาเครื่องปั่นไฟ
การดูแลรักษาเครื่องปั่นไฟอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดปัญหาการซ่อม และทำให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
-
ตรวจสอบสวิตช์ก่อนดูแลหรือซ่อมทุกครั้ง
ก่อนตรวจเช็กหรือซ่อมบำรุงเครื่องปั่นไฟ ต้องปิดสวิตช์และระบบจ่ายไฟเครื่องปั่นไฟ รวมถึงขั้วแบตเตอรี่เพื่อป้องกันเครื่องติดเองโดยไม่ตั้งใจ
-
ตรวจระดับน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ
ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องก่อนใช้งานเครื่องปั่นไฟทุกครั้ง และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะที่ผู้ผลิตกำหนด เพื่อให้ชิ้นส่วนภายในได้รับการหล่อลื่นอย่างเหมาะสม
-
ทำความสะอาดเครื่องหลังใช้งาน
หลังใช้งานเครื่องปั่นไฟควรทำความสะอาดด้วยการเช็ดหม้อน้ำรังผึ้งภายนอกและตัวเครื่องด้วยผ้าชุบน้ำหมาด เพื่อขจัดฝุ่น ลดความร้อนสะสม และป้องกันสนิม
-
ดูแลสายไฟ ขั้วต่อ และนอตยึดต่าง ๆ
หลังใช้งานเครื่องปั่นไฟควรตรวจเช็กความแน่นของขั้วสายไฟและนอต รวมถึงหมั่นเช็ดทำความสะอาดเพื่อป้องกันไฟลัดวงจร
-
ใส่น้ำมันหล่อลื่นที่สายพานและดูแลส่วนที่เสียดสี
ควรทาน้ำมันหล่อลื่นที่สายพานและชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวทุกครั้งหลังใช้งานเครื่องปั่นไฟ เพื่อยืดอายุการใช้งาน
-
ตรวจเช็กเครื่องหลังจากใช้งานครบ 20 ชั่วโมง
เมื่อใช้งานเครื่องปั่นไฟครบ 20 ชั่วโมง ให้ตรวจสอบระดับน้ำมันหล่อลื่น ความแน่นของสายไฟ ขั้วต่อ และสายพาน รวมถึงเช็ดหม้อน้ำกลั่นด้วยผ้าแห้งทุกครั้งหลังใช้งาน
-
ตรวจเช็กเครื่องทุก 3 เดือน หรือเมื่อใช้งานครบ 250 ชั่วโมง
เมื่อใช้งานเครื่องปั่นไฟครบ 250 ชั่วโมง หรือทุก 3 เดือน ให้ทำการถ่ายน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ตรวจสภาพท่อ สายยาง และเปลี่ยนหากชำรุด รวมถึงตรวจความแน่นของนอตและตัวยึดต่าง ๆ
-
ตรวจเช็กเครื่องทุก 6 เดือน หรือเมื่อใช้งานครบ 500 ชั่วโมง
เมื่อใช้งานเครื่องปั่นไฟครบ 500 ชั่วโมง หรือทุก 6 เดือน ให้เปลี่ยนไส้กรองอากาศ และไส้กรองเชื้อเพลิง เพื่อให้เครื่องยนต์รับอากาศและเชื้อเพลิงที่สะอาดอยู่เสมอ
ข้อควรระวังในการใช้งานเครื่องปั่นไฟ
การใช้งานเครื่องปั่นไฟไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งผู้ใช้งานและตัวเครื่องได้ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้
- ปิดระบบก่อนตรวจเช็กหรือซ่อมบำรุงทุกครั้ง เพื่อป้องกันกระแสไฟรั่วไหล
- ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำขณะเครื่องยนต์ยังร้อน เนื่องจากไอน้ำแรงดันสูงอาจพุ่งออกมาทำให้เกิดอันตรายได้
- ไม่จ่ายกระแสไฟเกินกำลังของเครื่อง เพราะอาจทำให้เครื่องเสียหายหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุดได้
- ห้ามปรับหรือซ่อมอุปกรณ์ขณะจ่ายไฟ และหากพบความผิดปกติต้องปลดโหลดออกก่อนแล้วจึงแก้ไข
- ต้องมีผู้ดูแลขณะเครื่องทำงาน เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น
- หลีกเลี่ยงการเปิด-ปิดเบรกเกอร์บ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น เพื่อลดการกระชากของระบบไฟฟ้าและยืดอายุการทำงานของอุปกรณ์
- ตรวจสอบค่ากระแส แรงดัน และอุณหภูมิระหว่างใช้งานอยู่เสมอ
- ตรวจสอบสายไฟ ฉนวน และระบบสายดินให้พร้อมใช้งาน เพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่วหรือไฟดูด
- ติดตั้งเครื่องปั่นไฟในพื้นที่ปลอดฝุ่น ไม่มีวัตถุไวไฟ และระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความร้อนสะสมและความปลอดภัย
- เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงให้มิดชิดและอยู่ในที่ปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดไฟ
ไฟฟ้าคือหัวใจของการใช้ชีวิตและดำเนินงาน จะดีกว่าไหมถ้าเรามีพลังงานสำรองที่คอยให้ทุกอย่างยังดำเนินต่อได้ไม่มีสะดุด อย่ารอให้ไฟดับก่อนแล้วค่อยมองเครื่องปั่นไฟ ติดตั้งไว้วันนี้อุ่นใจกว่า
ที่มา:
https://chuphotic.com/knowledge/generator-selection/
https://chuphotic.com/knowledge/url-diesel-gasoline-generator/
https://www.kacha.co.th/articles/เครื่องปั่นไฟ/
https://siamgenerator.com/what-is-generator/